เปิดโปงขบวนการฟอกเงินข้ามชาติ ใช้แรงงานกัมพูชากดเงินจากตู้ ATM

ผู้เชี่ยวชาญบทความการเดิมพันออนไลน์

เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยเปิดโปงเครือข่ายฟอกเงินข้ามชาติ ที่ใช้แรงงานชาวกัมพูชาเป็น “เครื่องมือ” ลักลอบถอนเงินจากตู้ ATM ผ่านบัตรอิเล็กทรอนิกส์หลากหลายใบ ล่าสุดจับกุมได้ 2 รายพร้อมของกลางบัตร ATM จำนวน 18 ใบ และเงินสดกว่า 1.05 ล้านบาท ในพื้นที่อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ตำรวจเชื่อเป็นเพียง “ปลายทาง” ของขบวนการฟอกเงินผิดกฎหมายที่โยงใยกับการพนันออนไลน์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ระดับนานาชาติ
จับคาหนังคาเขา! ชาวกัมพูชากดเงินจาก ATM ด้วยบัตร 18 ใบกลางเมืองชายแดน
กลางดึกในอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ตำรวจสอบสวนกลางและเจ้าหน้าที่กองปราบปรามได้รับแจ้งเบาะแสจากระบบข่าวกรองว่า มีผู้ต้องสงสัยใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมากในการถอนเงินจากตู้ ATM จุดเดียวกันเป็นเวลานาน เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบพื้นที่ พบชายชาวกัมพูชา 2 รายกำลังกดเงินจำนวนมาก โดยถือบัตร ATM ถึง 18 ใบในครอบครอง
เมื่อสอบสวนเบื้องต้น ทั้งสองยอมรับว่า บัตรที่ใช้นั้นไม่ใช่ของตน และได้รับการว่าจ้างให้กดเงินสดจากหลายบัญชี รวมถึงมีเงินสดในครอบครองกว่า 1,050,000 บาท พร้อมโทรศัพท์มือถือและกระเป๋าซุกซ่อนหลักฐาน เจ้าหน้าที่จึงทำการควบคุมตัว พร้อมตรวจยึดของกลางรวม 23 รายการไว้เป็นหลักฐาน

เบื้องหลังเครือข่ายพนันออนไลน์ข้ามชาติใช้แรงงานกัมพูชาเป็นเครื่องมือถอนเงิน
จากคำรับสารภาพของผู้ต้องหา ประกอบกับรูปแบบการกระทำผิดที่มีลักษณะ “ซ้ำซาก-เป็นระบบ” ทำให้เจ้าหน้าที่เชื่อว่า เหตุการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของ เครือข่ายการพนันออนไลน์ข้ามชาติ ที่มีการจัดจ้างแรงงานต่างด้าวเข้ามาในไทย โดยเฉพาะบริเวณชายแดน เพื่อถอนเงินที่ถูกโอนผ่านช่องทางผิดกฎหมายออกมาเป็นเงินสด
ขบวนการนี้ถือเป็น “ปลายทางของกระบวนการฟอกเงิน” ซึ่งต้นทางอาจเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์พนันผิดกฎหมาย หรือแม้แต่กลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่หลอกลวงเหยื่อในประเทศต่างๆ แล้วโอนเงินผ่านบัญชีม้า ก่อนจะถูกถอนในไทย
ตำรวจไทยเดินเกมไว! สกัดเส้นทางฟอกเงินข้ามชาติที่ไหลผ่านพรมแดน
การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของเจ้าหน้าที่จากกองบัญชาการสอบสวนกลางและกองปราบปราม สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในการวิเคราะห์ข้อมูลข่าวกรองและการตอบสนองต่อภัยคุกคามทางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงอย่างจังหวัดสระแก้ว ที่ถือเป็น “จุดยุทธศาสตร์” ของเส้นทางลักลอบทำธุรกรรมข้ามพรมแดน
หน่วยงานตำรวจได้อาศัยการเฝ้าระวังธุรกรรมผิดปกติ ร่วมกับการติดตามเคลื่อนไหวของกลุ่มเป้าหมาย จนนำไปสู่การจับกุมในครั้งนี้ ซึ่งช่วยสกัดเส้นทางการเงินของขบวนการผิดกฎหมาย ก่อนที่เงินจะถูกลำเลียงออกนอกระบบ หรือถูกนำไปหมุนเวียนในกิจกรรมผิดกฎหมายอื่น ๆ
การจับกุมได้อย่างแม่นยำและตรงเป้าหมาย ยังแสดงให้เห็นถึงความพร้อมของเจ้าหน้าที่ไทยในการปรับตัวรับมืออาชญากรรมไซเบอร์ที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยอาศัยทั้งความรู้ด้านเทคโนโลยีการเงินและความร่วมมือกับหน่วยงานระดับสากล
จาก ATM ถึงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ความเชื่อมโยงของโลกอาชญากรรมยุคใหม่
ในยุคที่การเงินและเทคโนโลยีเชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่น “เงินสดที่ถูกกดจาก ATM” อาจเป็นเพียงปลายทางเล็ก ๆ ของกระบวนการอาชญากรรมที่เริ่มต้นจากอีกฟากหนึ่งของโลก
ข้อมูลจากการสอบสวนหลายคดีในช่วงหลังชี้ให้เห็นว่า ขบวนการฟอกเงินในไทยมักมีความเชื่อมโยงกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ ซึ่งมักมีฐานปฏิบัติการในประเทศเพื่อนบ้าน โดยกลุ่มเหล่านี้จะหลอกลวงเหยื่อในหลากหลายประเทศ ก่อนโอนเงินเข้าสู่บัญชีที่เปิดโดยบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรง หรือที่เรียกว่า “บัญชีม้า”
จากนั้นจะมีการจัดจ้าง “แรงงานถอนเงิน” ซึ่งมักเป็นแรงงานต่างด้าว หรือผู้มีฐานะยากจน ให้เดินทางเข้ามากดเงินสดในไทย แล้วนำส่งให้เครือข่ายต่อไป

ขยายผลล่าตัวการใหญ่ คาดเงินหมุนเวียนนับล้านต่อเดือนในเครือข่ายผิดกฎหมาย
แม้การจับกุมในครั้งนี้จะเป็นเพียงหนึ่งจุดของเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ แต่เจ้าหน้าที่ไทยได้เริ่มกระบวนการ ขยายผลสอบสวน เพื่อสาวไปถึงตัวการผู้อยู่เบื้องหลังขบวนการฟอกเงินและการพนันออนไลน์ที่เชื่อมโยงหลายประเทศ
จากหลักฐานที่ตรวจยึดได้ในที่เกิดเหตุ เช่น บัตร ATM 18 ใบที่ลงทะเบียนในชื่อบุคคลต่างกัน โทรศัพท์มือถือ และเงินสดกว่า 1 ล้านบาท เจ้าหน้าที่กำลังใช้เครื่องมือทางนิติวิทยาศาสตร์ดิจิทัล เพื่อแกะรอยเส้นทางการโอนเงินย้อนหลัง รวมถึงสืบหาผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในระดับบัญชาการ ไม่ว่าจะอยู่ในไทย หรือนอกประเทศ
จากการประเมินเบื้องต้น คาดว่าขบวนการนี้มี “เงินหมุนเวียนในระบบเดือนละหลายล้านบาท” และเชื่อมโยงกับกิจกรรมผิดกฎหมายหลายประเภท ตั้งแต่การพนันออนไลน์ ไปจนถึงการหลอกลวงทางโทรศัพท์ผ่านแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศในระยะยาว
สะเทือนขบวนการฟอกเงินไทย-กัมพูชา ตำรวจไทยเดินหน้าไล่ล่าต้นตอ
การจับกุมผู้ต้องหาชาวกัมพูชาทั้ง 2 รายในจังหวัดสระแก้วครั้งนี้ ถือเป็น “สัญญาณเตือน” ที่สะท้อนถึงความซับซ้อนและการแผ่ขยายของอาชญากรรมทางการเงินยุคใหม่ ที่มิได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศใดประเทศหนึ่ง หากแต่มีลักษณะข้ามพรมแดน ใช้เทคโนโลยีและแรงงานเป็นเครื่องมือสำคัญ
ในขณะที่การขยายผลยังคงดำเนินต่อไป สิ่งสำคัญคือความร่วมมือระดับภูมิภาค และการปรับตัวของระบบกำกับดูแลให้สามารถรับมือกับ “อาชญากรรมที่ไร้พรมแดน” ได้อย่างทันท่วงทีและยั่งยืน