F1 Las Vegas Grand Prix ต่อสัญญาถึงปี 2027 ปั้นรายได้ท่องเที่ยวพุ่ง 934 ล้านดอลลาร์

Formula 1 ยืนยันขยายสัญญาการจัดการแข่งขัน Las Vegas Grand Prix บนถนนสายเศรษฐกิจหลัก “Las Vegas Strip” ต่ออีก 2 ปี ไปจนถึงปี 2027 เป็นที่เรียบร้อย หลังตัวเลขรายได้จากการแข่งขันในปี 2024 ทะยานแตะ 934 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมรายได้ภาษีกว่า 45 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้เดือนพฤศจิกายนกลายเป็น “ฤดูทองใหม่” ของการท่องเที่ยวลาสเวกัส
แม้ในช่วงเริ่มต้นปี 2023 จะมีเสียงวิจารณ์ถึงราคาตั๋วแพง และปัญหาทางเทคนิคในรอบฝึกซ้อม แต่การปรับแผนเชิงรุกในปี 2024 เช่น การปรับเวลาแข่งขันและราคาที่เหมาะสม ทำให้การแข่งขันได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และตอกย้ำถึงศักยภาพของลาสเวกัสในการเป็น ศูนย์กลางกีฬาและบันเทิงระดับโลก
Las Vegas Strip กลายเป็นสนามแข่งเงินล้าน ดันเศรษฐกิจเดือนพฤศจิกายนทำลายสถิติ
การแข่งขัน Las Vegas Grand Prix ซึ่งจัดในช่วงสุดสัปดาห์ก่อน วันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving) ได้เปลี่ยนพฤติกรรมการท่องเที่ยวของเมืองลาสเวกัสอย่างมีนัยสำคัญ จากเดิมที่เดือนพฤศจิกายนถือเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจโรงแรมและคาสิโน กลับกลายเป็นเดือนที่ทำรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ของเมือง
รายงานประเมินว่าเพียงแค่ปี 2024 งานแข่งสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจรวมกว่า 934 ล้านดอลลาร์ และนำมาซึ่ง รายได้ภาษีท้องถิ่นกว่า 45 ล้านดอลลาร์ โดยกิจกรรมที่สร้างเม็ดเงินมหาศาล ได้แก่ การเข้าชมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ, ยอดจองโรงแรม, และค่าใช้จ่ายจากผู้เข้าร่วมงานทั่วทั้งเส้นทางการแข่ง
จากวิกฤตวันซ้อมถึงมาตรการแก้เกม F1 ปรับแผนรับเสียงแฟนทั่วโลก
หลังจากรอบฝึกซ้อมในปีแรก (2023) เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น ฝาวาล์วน้ำบนถนนหลุดกระแทกรถของ Carlos Sainz Jr. และการเลื่อนรอบซ้อมไปถึงตี 4 ซึ่งทำให้แฟน ๆ ต้องออกจากสนามก่อน ทำให้ F1 ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
อย่างไรก็ตาม ปี 2024 ทางผู้จัดได้ตอบสนองต่อข้อร้องเรียนอย่างชัดเจน โดยมีการ ปรับเวลาเริ่มการแข่งขันจาก 22.00 น. เป็น 20.00 น. เพื่อลดภาระแฟนๆ และมีการปรับโครงสร้างราคา ทั้งค่าตั๋วและโรงแรมเพื่อให้เข้าถึงง่ายขึ้น การปรับเปลี่ยนเหล่านี้ได้ผลทันตา ส่งผลให้การแข่งขันปีล่าสุดได้รับการตอบรับเชิงบวกและดึงดูดผู้ชมกลับมาอย่างล้นหลาม

คาสิโนใหญ่ร่วมมือดัน F1 สร้างแบรนด์ลาสเวกัสในระดับโลก
เบื้องหลังความสำเร็จของ Las Vegas Grand Prix ไม่ได้เกิดจาก F1 เพียงฝ่ายเดียว แต่เกิดจากความร่วมมือของเครือข่ายคาสิโนใหญ่ในเมือง รวมถึงการอนุมัติจาก Clark County ที่ให้ใช้ถนนสายหลัก “Las Vegas Strip” เป็นส่วนหนึ่งของสนามแข่งขันนานถึง 10 ปี
การมีส่วนร่วมของธุรกิจท้องถิ่น เช่น คาสิโน, โรงแรม และร้านค้าบริเวณเส้นทางแข่ง ช่วยเพิ่มทั้งการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและกิจกรรมเสริมโดยรอบ ทำให้การแข่งขันกลายเป็นมหกรรมบันเทิงแบบครบวงจร ทั้งนี้ การปรากฏตัวของลาสเวกัสบนปฏิทิน Formula 1 ยังช่วย ตอกย้ำแบรนด์ “เมืองแห่งความบันเทิง” ในระดับโลก อย่างชัดเจน
เปลี่ยนภาพ “เดือนโลว์” ให้เป็นเดือนทองของ F1
หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ Las Vegas Grand Prix ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น คือ การเลือกช่วงเวลาจัดแข่งที่ชาญฉลาด โดยวางกำหนดไว้ในสัปดาห์ก่อนวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving) ซึ่งเดิมเป็นช่วงที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวน้อยที่สุดของปี
การเติมกิจกรรมระดับโลกในช่วงเวลานี้ ไม่เพียงช่วยสร้างความคึกคักแก่เมือง แต่ยังช่วยให้ผู้ประกอบการโรงแรม–ธุรกิจท่องเที่ยวสามารถขยายช่วงทำรายได้ก่อนเทศกาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นกลยุทธ์ที่เปลี่ยน "ช่วงโลว์ซีซั่น" ให้กลายเป็น “เดือนทอง” ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

วิสัยทัศน์ F1 ดันลาสเวกัสสู่ฮับกีฬาโลก
แม้ข้อตกลงล่าสุดจะขยายสัญญา Las Vegas Grand Prix ถึงปี 2027 แต่จากคำให้สัมภาษณ์ของ Emily Prazer ประธานฝ่ายการค้า F1 และผู้บริหารจัดงานแข่ง เธอชี้ว่าทาง F1 ตั้งใจให้ลาสเวกัสกลายเป็น “พันธมิตรระยะยาว” ไม่ใช่เพียงแค่จุดหมายปลายทางชั่วคราวในปฏิทินแข่ง
ด้วยวิสัยทัศน์การพัฒนาเชิงกลยุทธ์ การสร้างโครงสร้างพื้นฐานถาวร และการสนับสนุนจากภาคเอกชนในท้องถิ่น ลาสเวกัสมีแนวโน้มสูงที่จะกลายเป็น ศูนย์กลางการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตระดับโลก โดยเฉพาะในซีกโลกตะวันตกที่กำลังเติบโตด้านผู้ชมและนักพนันกีฬา
Las Vegas Grand Prix กับยุคใหม่ของกีฬา และเศรษฐกิจ
การขยายสัญญา F1 Las Vegas Grand Prix ถึงปี 2027 ไม่ได้สะท้อนแค่ความสำเร็จของการแข่งขัน แต่ยังแสดงถึงศักยภาพของ กีฬา ในการเป็น “แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” ให้เมืองทั้งเมือง ลาสเวกัสซึ่งเคยพึ่งพาแต่ความบันเทิงรูปแบบเดิม กำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่กีฬาระดับโลกอย่าง Formula 1 มีบทบาทเป็นกลไกสร้างรายได้ ดึงดูดนักท่องเที่ยว และยกระดับแบรนด์เมืองในระดับสากล
ด้วยแผนระยะยาว การปรับตัวตามเสียงสะท้อน และพันธมิตรภาคธุรกิจที่แข็งแกร่ง ทำให้ Las Vegas Grand Prix ไม่ใช่เพียง “งานแข่งประจำปี” แต่กลายเป็น “ยุทธศาสตร์” ระดับประเทศที่ผสานกีฬา เศรษฐกิจ และภาพลักษณ์เข้าด้วยกันอย่างลงตัว